Category: Kids

ของเล่นเสริมพัฒนาการได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการเรียนรู้โดยรวมของเด็ก ของเล่นเหล่านี้มีจุดประสงค์นอกเหนือจากความบันเทิงเท่านั้น ของเล่นเหล่านี้เป็นทรัพย์สินด้านการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความรู้ความเข้าใจ การเคลื่อนไหว และทักษะทางสังคมของเด็ก แม้ว่าจะใช้ที่บ้านได้ แต่ข้อดีของการรวมของเล่นเสริมพัฒนาการไว้ในห้องเรียนก็มีมากมาย นี่คือประโยชน์ที่สำคัญบางประการ: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างแรงจูงใจให้เด็กๆ เด็ก ๆ มักจะชอบเกมและของเล่น เมื่อเอาของเหล่านัเนมาใช้อย่างถูกวิธี ของเล่นเสริมพัฒนาการสามารถเรียกความสนใจและกระตุ้นเด็กๆให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมในชั้นเรียนได้ พวกเขาทำให้เด็กมีส่วนร่วมและมีแรงบันดาลใจ ทำให้ห้องเรียนมีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงบวกและสนุกสนาน การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญา ของเล่นเสริมพัฒนาการ เช่น จิ๊กซอว์ บล็อกตัวต่อ และเกมเสริมความจำสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้ของเด็กได้อย่างมาก ของเล่นเหล่านี้ช่วยกระตุ้นทักษะการแก้ปัญหา การคิดเชิงตรรกะ และสมาธิ รวมทั้งยังสนับสนุนการพัฒนาความเข้าใจเชิงพื้นที่อย่าง คณิตศาสตร์ และการใช้ภาษา การพัฒนาด้านทักษะยนต์ ของเล่นบางอย่าง เช่น บล็อกตัวต่อ ชุดวาดภาพ หรือชุดทราย ช่วยกระตุ้นการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวที่สำคัญของเด็ก ช่วยเพิ่มความแม่นยำ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ส่งเสริมด้านการเข้าสังคม เกมและของเล่นแบบร่วมมือหรือต้องเล่นหลายคนส่งเสริมให้เด็กเล่นและทำงานร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเล่นดังกล่าวช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะทางสังคมที่สำคัญ เช่น การแบ่งปัน การผลัดเปลี่ยน การเจรจาต่อรอง และการแก้ไขความขัดแย้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้พวกเขาเข้าใจและชื่นชมการทำงานเป็นทีม การสร้างทักษะในการควบคุมอารมณ์ ของเล่นที่เกี่ยวข้องกับการเล่นบทบาทสมมติ เช่น บ้านตุ๊กตาหรือของเล่นอาชีพต่างๆ ช่วยให้เด็กได้แสดงออกและรับมือกับความรู้สึกของตนเอง พวกเขาช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ต่างๆ ส่งเสริมการเอาใจใส่และความฉลาดทางอารมณ์ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ …

อย่างที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ปัญหาในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่จำนวนอุบัติเหตุจะสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเช่นนี้ทางรัฐบาลจึงต้องออกกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาหลายอย่าง รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการที่จะต้องมีคาร์ซีทไว้ในรถด้วยหากว่ามีเด็กโดยสาร

หากว่าถามถึงความจำเป็นในการพาเด็กไปที่คลินิกรักษาเด็ก คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากคิดว่าคลินิกรักษาเด็กจะต้องไปก็ต่อเมื่อเด็กๆ รู้สึกป่วยเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคลินิกเด็กเป็นสถานที่ซึ่งพ่อและแม่ควรพาไปตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์บ่อยๆ เพื่อที่จะลดปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นนั่นเอง  หลักการบริการ  หลักการบริการของคลินิกเด็กมีอะไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนคงอยากรู้ มาดูพร้อมๆ กัน  1.ถามข้อมูลของการเลี้ยงดู  เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยไปที่คลินิกเด็ก คุณอาจจะพบว่าการแพทย์มีการซักถามโดยละเอียดถึงข้อมูลของการเลี้ยงดู อาหารการกิน และปัญหาความกังวลใจจิตใจของพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการของเด็ก รวมไปถึงความสัมพันธ์ของพ่อและแม่รวมไปถึงบุคคลในครอบครัว  2.การตรวจคัดกรองการเจริญเติบโต  สำหรับการตรวจคัดกรองการเติบโต จะมีทั้งการแปลการประเมินผล ซึ่งการประเมินผลนี้ ทั้งพ่อและแม่เองก็จะมีส่วนร่วมในการรับรู้ นอกจากนี้อาจมีการสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและพ่อแม่ ที่อาจจะมีผลกระทบกับการเลี้ยงดูของเด็ก  3.การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  สำหรับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันนั้นจะมีส่วนสำคัญหลายต่อหลายด้าน ทั้งอาการข้างเคียง รวมถึงประโยชน์ของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  4.การเลี้ยงดูแบบให้คำแนะนำ  เนื่องจาการเลี้ยงดูในปัจจุบันนี้มีหลักการหลายต่อหลายด้าน ทั้งการเลี้ยงดูด้วยอาหารตามวัย และการเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ การส่งเสริมและการพัฒนาการอบรม รวมไปถึงเลี้ยงดูเด็ก นอกจากนี้อาจจะมีการเสริมสร้างการป้องกันอุบัติเหตุและการเสริมพัฒนาการในทุกๆ ด้าน  การจัดระบบคลินิกรักษาเด็ก  1.ระบบบริการ  คลินิกรักษาเด็กได้ชื่อว่าเป็นคลินิกที่มีความพลุกพล่าน ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นระบบการรักษาและบริการนั่นเอง ซึ่งในกรณีที่คลินิกเด็กไม่สามารถรักษาตัวต่อได้ก็อาจทำเรื่องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลนั่นเอง  2.สถานที่ในการรักษาเด็ก  สำหรับสถานที่ในการรักษาเด็กถือเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน อาจจะกล่าวได้ว่าการรักษาเด็กควรจัดเตรียมสถานที่ให้เหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ก็เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นเด็กรู้สึกกลัวกับการไปรักษาที่คลินิก และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้จะต้องมีการแยกใช้เครื่องมือหรือว่าอุปกรณ์ในการบริการด้วยจะดีที่สุด เพื่อลดปัญหาของการติดเชื้อ  หากว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการให้การรักษาและดูแลลูกน้อยไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ขอแนะนำเลยว่าให้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก ซึ่งแน่นอนเลยว่าการดูแลสุขภาพและการรักษาลูกน้อยด้วยคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางบริการจะช่วยให้ลูกมีสุขภาพดีขึ้นแน่นอน 

พ่อแม่ทุกคนต้องการสิ่งเดียวกันให้กับลูก ๆ นั่นก็คือ อยากให้ลูก ๆ เติบโตขึ้นมาเพื่อรักและถูกรัก, ทำตามความฝัน และค้นหาความสำเร็จในแบบที่เป็นตัวเอง และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องการให้ลูกมีความสุข แต่ผู้เป็นพ่อ – แม่จะควบคุมความสุขของลูกได้มากถึงเพียงไหน พ่อ – แม่ สามารถทำอะไรได้บ้าง ในบทความนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน ช่วยทำให้ลูกมีความรู้สึกผูกพันกับสมาชิกในครอบครัว วัยเด็กเป็นวัยที่เชื่อมโยงกันกุญแจสู่ความสุข โดยความเชื่อมโยงนี้มาพร้อมกับความรู้สึกของการได้รับความรัก, ความเข้าใจ,ความต้องการ และการได้รับการยอมรับ ซึ่งได้กลายมาเป็นเครื่องป้องกันความทุกข์ทางอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยามที่เด็กโต ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย, การสูบบุหรี่, ดื่มสุรา และการใช้ยา ดังนั้นการฟูมฟักความรัก ตั้งแต่ยังเยาว์วัยจะกลายมาเป็นเกราะกำบังในอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน  อย่าพยายามทำให้ลูกของคุณมีความสุข คำแนะนำนี้อาจฟังดูขัดกับสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ เพื่อสร้างความสุขในระยะยาวของลูกก็คือ การหยุดพยายามทำให้ลูกมีความสุขในระยะสั้น ถ้าคุณนำลูก ๆ  ไปใส่ไว้ในฟองสบู่ และมอบทุกความปรารถนาให้ ก็ต้องขอบอกเลยว่าโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น จำไว้ว่าคุณไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสุขของลูกคุณ พ่อแม่ที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของลูก จะมีปัญหาอย่างมากในการทำให้ลูกประสบกับความโกรธ, ความเศร้า หรือความคับข้องใจ เด็กจะต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ด้านลบ เพราะถ้าไม่มีการฝึกมาก่อนเด็ก ก็อาจตกอยู่ในอันตรายในช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ดังนั้นการปล่อยให้ลูกพัฒนาทักษะการเผชิญปัญหา และสร้างความยืดหยุ่น จะทำให้ฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของชีวิต  หล่อเลี้ยงความสุขของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะควบคุมความสุขของลูกไม่ได้ …

เด็กวัยเตาะแตะยังคงเป็นวัยที่มีความกลัวหลายอย่าง และเป็นเรื่องยากที่จะเด็กจะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองถึงความปลอดภัย ดังนั้นในบทความนี้ เราก็ได้รวบรวม 5 อันดับความกลัวของเด็กวัยหัดเดิน มาให้คุณได้ทำความรู้จักแล้ว พร้อมทั้งแนะนำวิธีช่วยบรรเทาความกลัวให้กับลูกน้อยของคุณอีกด้วย 1. ความมืด  เด็กส่วนใหญ่กลัวความมืด ซึ่งเป็นความกลัวที่พบได้ ดังนั้นเพื่อต่อสู้กับความกลัวนี้ แนะนำสอนลูกของคุณให้รู้จักวิธีเปิดไฟรอบ ๆ บ้าน และเพิ่มไฟจากโคมไฟในห้องนอนของลูก ให้บุตรหลานของคุณสามารถควบคุมปริมาณแสงที่พวกเขาได้ต้องการเมื่อเข้านอน และคุณยังช่วยทำให้บุตรหลานของคุณเข้าใจคงความปกติของความมืด โดยชวนลูกออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนด้วยกัน  2. ปีศาจ หรือ สัตว์ประหลาด เด็กวัยหัดเดินมีจินตนาการ ที่สามารถเสกมอนสเตอร์ขึ้นมาในมุมมืด หรือทุก ๆ ดังนั้นลังจากที่คุณพาลูกตรวจสอบใต้เตียง, ในตู้เสื้อผ้า และทุกมุมเพื่อหามอนสเตอร์ที่มีอยู่แล้ว แนะนำให้คุณเติมน้ำเปล่าลงในขวดสเปรย์ และบอกลูกของคุณว่าปีศาจ หรือ สัตว์ประหลาด จะหนีไป เมื่อเขาฉีดสเปรย์ในห้องหรือตามมุมต่าง ๆ ที่เขาต้องการ 3. ฝันร้าย  เด็กวัยหัดเดินอาจอธิบายไม่ได้ว่าตัวเองฝันร้าย แต่จะแสดงความทุกข์ผ่านพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การตื่นบ่อย, การกรีดร้อง หรือร้องไห้ หรือกลัวที่จะเข้านอน ขอให้คุณปลอบลูกของคุณหลังจากฝันร้าย ด้วยผ้าห่มหรือตุ๊กตาตัวโปรด และเสริมความมั่นใจกับลูกว่าลูกจะปลอดภัยและคุณพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือ  4. คนแปลกหน้า การกลัวคนแปลกหน้าเป็นความกลัวที่ดีต่อสุขภาพ …

เด็กเล็ก เป็นอีกหนึ่งวัยที่ต้องการกำลังใจมากมาย ไม่ว่าเด็ก ๆ กำลังจะหัดคลาน, ขว้างลูกบอล หรือวาดวงกลมก็ตาม ซึ่งการมีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งลักษณะนิสัยที่ติดตัวลูกของคุณไปในอนาคต ทำให้ลูกของคุณนั้นมีความกล้าที่จะตัดสินใจ มีความกล้าที่จะเป็นตัวเอง มีความกล้าที่จะใช้ชีวิตในแบบตัวเองให้มีความสุข ดังนั้นเราก็มีวิธีการดี ๆ 4 ข้อมาแนะนำให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อที่จะได้นำไปเสริมความมั่นใจให้กับลูกน้อยของคุณกัน    1. อย่าช่วยลูกของคุณ เป็นเรื่องปกติที่พ่อ – แม่ ต้องการป้องกันไม่ให้ลูกของคุณได้รับบาดเจ็บ, ท้อแท้ หรือทำผิดพลาด แต่เมื่อคุณเข้าไปแทรกแซงจนเกินความพอดี สิ่งนี้จะทำให้ลูกของคุณรู้สึกอึดอัดแน่นอน เช่น กดดันให้โค้ชฟุตบอลดันลูกคุณมากกว่านี้ หรือพยายามดันลูกของคุณให้ไปอยู่ในกลุ่มที่ลูกของคุณไม่ต้องการ เด็ก ๆ จำเป็นต้องรู้ตัวเองว่าล้มเหลวได้ และเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเศร้า, วิตกกังวล หรือโกรธ พวกเขาเรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จด้วยการเอาชนะอุปสรรค ไม่ใชให้พ่อแม่กำจัดออกไป   2. ให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง เมื่อลูกของคุณมีโอกาสเลือกได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจะมีความมั่นใจในวิจารณญาณที่ดีของตัวเอง การควบคุมเด็กมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกหนักใจ ทางที่ดีควรให้ตัวเลือก 2 – 3 ตัวเลือกแก่บุตรหลานของคุณ ยกตัวอย่างเช่น อย่าถามเด็กอายุ 3 ขวบว่าเขาต้องการทานอะไรเป็นอาหารกลางวัน แต่ให้เสนอ 3 ตัวเลือกแทน …